STEM CELL
สเต็มเซลล์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งตามความเข้าใจก็คือ เซลล์ต้นกำเนิดนั่นเอง โดยเซลล์ชนิดนี้จะมีอยู่แทบทุกส่วนในร่างกายของคนเรา สามารถแบ่งตัวเองได้อย่างไม่จำกัด เพื่อที่จะเข้าไปแทนที่เซลล์ต่างๆในร่างกายที่เสื่อมสภาพลง ทำให้ร่างกายมีการฟื้นฟูและเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็สามารถพบได้ทุกช่วงเวลาของการเจริญเติบโตในสิ่งมีชีวิต
STEM CELL มีกี่ประเภท?
สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ โดยแต่ละประเภทก็จะมีต้นกำเนิดและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป ได้แก่
1. เซลล์ต้นกำเนิดที่แยกได้จำกตัวอ่อน (Embryonic stem cell) สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ต่างๆได้เกือบทุกชนิดในร่างกาย จึงสามารถเข้าไปทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพได้ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นสมอง ผิวหนัง กล้ามเนื้อหัวใจหรือเซลล์เม็ดเลือด เป็นต้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมร่างกายของคนเรามักจะฟื้นตัวได้เร็วอยู่เสมอ แถมทางการแพทย์ก็มีการนำสเต็มเซลล์มาใช้เพื่อรักษาโรคบางชนิด
2. เซลล์ต้นกำเนิดที่แยกได้จำสิ่งมีชีวิตโตเต็มวัย (Adult stem cells) เป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเป็นเซลล์เนื้อเยื่อนั้นๆ ได้เท่านั้น
ไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็นเซลล์อื่นๆในร่างกายได้ ซึ่งก็มีคุณสมบัติที่ด้อยกว่าสเต็มเซลล์แบบแรกพอสมควร ตัวอย่างสเต็มเซลล์ประเภทนี้ เช่น สเต็มเซลล์ของเลือดก็จะเปลี่ยนเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด หรือสเต็มเซลล์ของผิวหนังก็จะเปลี่ยนเป็นเซลล์ผิวหนัง
Adult stem cells ในปัจจุบันสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดที่สำคัญคือ
1. เซลล์ต้นกำเนิดของเลือด (Hematopoietic stem cell) เซลล์ต้นกำเนิดชนิดนี้มีความสามารถในการเจริญพัฒนาไปเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และองค์ประกอบต่างๆ ของเลือด แนวทางการรักษาโดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดกลุ่มนี ้คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเลือดและองค์ประกอบของเลือด เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคโลหิตจาง เป็นต้น
2. เซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์ร่างกาย (Mesenchymal stem cell) ใช้รักษาโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ของร่างกายตามวัยหรือเสื่อมสภาพที่เกิดจากโรค เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคกระดูกและข้อ และผิวหนัง เป็นต้น
เซลล์ต้นกำเนิดที่ได้จากตัวเต็มวัยมีอยู่ในร่างกายของคนเราตั้งแต่เกิดจนถึงตายในทุกๆอวัยวะ ซึ่งคุณภาพและปริมาณจะแปรผกผันตามอายุและสิ่งแวดล้อม เช่น ถ้าอายุมากขึ้นจำนวน
เซลล์ต้นกำเนิดก็จะมีคุณภาพและปริมาณที่น้อยลง ดังนั้นเมื่อเซลล์ต่างๆในร่างกายเราเสื่อมสภาพหรือตายไปเซลล์ต้นกำเนิดที่มีความจำเพาะชนิดต่างๆก็จะมีการแบ่งเซลล์และเจริญพัฒนาไปซ่อมแซมเซลล์ของอวัยวะนั้น
MESENCHYMAL STEM CELLS (MSC)
Mesenchymal stem cells (MSC) สเต็มเซลล์มีคุณสมบัติเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ต่างๆ เมื่อฉีดเข้าในร่างกายไปส่วนใดส่วนหนึ่งก็จะไปรักษาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเสริมสร้าง
การเจริญเติบโตให้กับเซลล์ส่วนนั้น ทั้งยังเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถนำไปใช้กับผู้อื่นได้โดยไม่เกินการต่อต้าน
Mesenchymal stem cells (MSC) เหมาะอย่างยิ่งที่จะนำมาฟื้นฟูด้วยเซลล์บำบัด (Cell Therapy) ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรักษาโรคอย่างภูมิคุ้มกันบกพร่อง, โรคกระดูก, โรคหัวใจ, แก้ไขข้อเข่าเสื่อม ฯลฯ รวมถึงนำมาใช้ประโยชน์ในด้านความสวยความงาม เช่น ลดริ้วรอย ร่องลึกของผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นหน้า คอ ร่องแก้ม ใต้ตา หน้าผาก โดยฉีดเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการเพื่อให้สภาพผิวดีขึ้นจนริ้วรอยร่องลึกต่างๆลดลง ทำให้แลดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง
การเตรียมตัวก่อนทำ CELL THERAPY
1. ควรทำการขับล้างสารพิษในระบบทางเดินอาหาร 4 สัปดาห์ข้อปฏิบัติหลังทำ CELL THERAPY
1. พักผ่อนและทำจิตใจให้สบาย
2. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ย่อยง่าย งดอาหารรสจัด อย่าง
น้อย 1 เดือน
3. งดการดื่มแอลกอฮฮล์และคาเฟอีนในปริมาณสูง อย่างน้อย 2 สัปดาห์
4. งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์
5. งดออกแดดจัดเป็นเวลาต่อเนื่องนานๆ หรือการอาบแดดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
6. งดกิจกรรมหรือการออกกำลังกายอย่างหนักที่ทำให้อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้น
อย่างน้อย 2 สัปดาห์
7. งดวัคซีนหรือยาปฏิชีวนะ (ยกเว้นกรณีจำเป็น) อย่างน้อย 1 เดือน
8. งดการถ่าย X-Rays ยกเว้น กรณีมีเหตุจำเป็น 1 เดือน
9. ถ้ารู้สึกมีไข้ต่ำๆ ตัวรุมๆ สามารถทานลดไข้ได้
10. ในบางรายหลังรับการรักษาอาจจะมีผื่นหรือคันเกิดขึ้น ทานยาแก้แพ้ได้
11. ช่วง 1-2 สัปดาห์แรกอาจจะรู้สึกหายใจไม่อิ่มได้บ้าง
12. กรณีที่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ให้รีบแจ้งแพทย์ทันที
ข้อปฏิบัติหลังฉีด MSC ใบหน้า
1. ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด งดการล้างหน้าด้วยโฟม สบู่เหลว ครีม และน้ำยาทำความสะอาดหน้าทุกชนิด 24ชั่วโมง
2. งดใช้ครีมบำรุง ครีมกันแดด และเครื่องสำอางทุกชนิด หลังฉีดหน้า 1 วัน
3. งดทำเลเซอร์ ทรีทเมนท์ และห้ามอบซาวน่าเป็นระยะเวลา 2 อาทิตย์
4. ควรประคบเย็น 24 ชั่วโมงแรกเพื่อลดอาการบวม และอาการเขียวช้ำ
5. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานานๆ
6. อาจมีอาการบวมหรือมีรอยเขียวช้ำ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกไม่ต้องกังวล อาการเหล่านี้จะดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์
7. งดการออกกำลังกายอย่างหนักเป็นระยะเวลา 2 อาทิตย์
8. งดการดื่มแอลกอฮอล์